Please use this identifier to cite or link to this item: https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/2107
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorศรีนวล สถิตวิทยานันท์, 2495- อาจารย์ที่ปรึกษาth_TH
dc.contributor.advisorวันเพ็ญ ภิญโญภาสกุล, อาจารย์ที่ปรึกษาth_TH
dc.contributor.authorสมจิตต์ อุทยานสุทธิ, 2497--
dc.contributor.otherมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สำนักบัณฑิตศึกษาth_TH
dc.date.accessioned2022-11-11T03:50:57Z-
dc.date.available2022-11-11T03:50:57Z-
dc.date.issued2556-
dc.identifier.urihttp://ir.stou.ac.th/handle/123456789/2107-
dc.descriptionวิทยานิพนธ์ (พย.ม. (การบริหารการพยาบาล))--มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2556th_TH
dc.description.abstractการวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารก เกิดก่อนกำหนด โรงพยาบาลตำรวจ และศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนด กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจงคือ พยาบาลวิชาชีพ ที่ดูแลทารกเกิดก่อนกำหนด ในหอผู้ป่วยทารกแรก เกิดมีปัญหาและไอซียูกุมาร จำนวน 10 คน มารดาที่คลอดทารกก่อนกำหนด 10 คน ทารกเกิดก่อนกำหนด 13 คน โดยใช้เครื่องมือในการวิจัย คือ (1) ประเด็นสนทนากลุ่ม (2) รูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนด (3) แบบทดสอบความรู้การวางแผนจำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนด โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ตรวจสอบความตรงตามเนี้อหาและนำมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องได้ค่า IOC - 0.79 (4) แผนการสอบพยาบาลเรื่องการวางแผนจำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนด (5) แบบสอบถามพยาบาลเกี่ยวกับประสิทธิผลการใช้รูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนด และผู้ทรงคุณวุฒิได้ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา โดยได้ค่า CV1 - 0.73 และวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นได้ค่าครอนบาคอัลฟ่า = 0.76 (6) แบบสอบถามมารดาเกี่ยวกับประสิทธิผลการใช่รูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนด และผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบความตรงตามเนี้อหา โดยได้ค่า CV1 - 0.77 และวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นได้ค่าครอนบาคอัลฟ่า = 0.73 (7) แบบบันทึกผลการใช้รูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนดวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Wilcoxon match pair sign rank test ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนี้อหา ผลการวิจัยสรุป ได้ดังนี้ (1) ผลการเปรียบเทียบความรู้พยาบาลก่อนและหลังอบรมเรื่องการวางแผน จำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนด แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ในหอผู้ป่วยที่ 1 (2) ความดิดเห็นของ พยาบาลเกี่ยวกับประสิทธิผลของรูปแบบก่อนและหลังทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 (3) ความดิดเห็นของมารดาเกี่ยวกับประสิทธิผลของรูปแบบอยู่ในระดับมาก สี่งที่มารดาได้รับการสอนและฝึก ทักษะมากที่สุดคือ การให้นมมารดาและการดูแลบุตรทั่วไป (4) ข้อมูลเชิงคุณภาพขณะอยู่โรงพยาบาล มารดา สามารถให้นมมารดา นวดสัมผัสทารกและทำแกงการูแคร์ได้ทุกคน เมื่อจำหน่ายกลับบ้านมารดาให้นมมารดา ต่อเนื่องทุกคน นวดสัมผัสทารกต่อ 3 คน ไม่มีมารดาทำแกงการูแคร์ต่อ ด้านทารกไม่มีทารกกลับมานอนรักษาซํ้า ในโรงพยาบาลภายใน 28 วัน ทารกมาตรวจตามนัดทุกราย จำนวนวันนอนเฉลี่ย 15.2 วัน ไม่มีทารกเป็น ROP ตรวจการได้ยินไม่ผ่าน 2 คนth_TH
dc.formatapplication/pdfen_US
dc.language.isothth_TH
dc.publisherมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.rightsมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.rightsAttribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)en_US
dc.rights.urihttps://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/en_US
dc.sourceBorn digitalen_US
dc.subjectมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. แขนงวิชาการบริหารการพยาบาล -- วิทยานิพนธ์th_TH
dc.subjectมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ -- วิทยานิพนธ์th_TH
dc.subjectทารกคลอดก่อนกำหนดth_TH
dc.titleการพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกเกิดก่อนกำหนดโรงพยาบาลตำรวจth_TH
dc.title.alternativeDevelopment of a discharge planning nursing model for premature infants at Police General Hospitalth_TH
dc.typeThesisth_TH
dc.degree.nameพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตth_TH
dc.degree.levelปริญญาโทth_TH
dc.degree.disciplineสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์th_TH
dc.degree.grantorมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.description.abstractalternativeThis is a research and development study. The objectives were to develop a nursing model of discharge planning for premature infants and to study the effectiveness of the model for premature infants at Police General Hospital. The sample included three groups: 10 nurses who cared for premature infants in the high risk neonatal ward and in the pediatric ICU, 10 mothers who gave birth to premature infants, and 13 premature infants. These subjects were purposively selected. Research tools comprised:( 1) focus group questionaire, (2) a model of discharge planning for premature infants, (3) a knowledge test for nurses of discharge planning for premature infants This test was verified by 7 experts, and IOC was 0.79, (4) lesson plans focused on discharge planning for premature infants, (5) questionnaires which asked nurses their opinion of the effectiveness of using the model of discharge planning for premature infants. These questionnaires were verified by experts, CVI was .0.73, and Cronbach’s alpha was .0.76, (6) questionnaires which asked mother their opinion of the effectiveness of using the model of discharge planning for premature infants These questionnaires were verified by experts, CVI was .0.77, and Cronbach’s alpha was .0.73, (7) a track record of the results of the discharge planning model for premature infants. Data were analyzed by means and standard deviation and Wilcoxon match pair sign rank test. The results were as follows: (1) There was significant difference of knowledge before and after nurses were trained for planning to discharge premature infants in ward I (p < 0.05). (2) There was significant difference of nurses’ opinions before and after using a nursing model of discharge planning for premature infants (p < 0.05). (3) Mothers rated use of the model at a high level. They were trained and practiced most on breast feeding skills and caring for their children. (4) Qualitative data revealed as follows. During their stay in the hospital, all mothers could do breast feeding, infant massage, and kangaroo care. After discharge and staying at their home, all mothers continued to do breast feeding, three of them massaged their infants, and none continued to do kangaroo care. No infant was readmitted in the hospital within 28 days. All infants came to be followed up. The average length of stay was 15.2 days, and none of the infants had ROP. Two infants did not pass a hearing examinationen_US
Appears in Collections:Nurse-Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Thesbib140604.pdfเอกสารฉบับเต็ม23.99 MBAdobe PDFView/Open


This item is licensed under a Creative Commons License Creative Commons