กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้: https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/9160
ชื่อเรื่อง: การดำเนินคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ: ศึกษาอำนาจหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ...
ชื่อเรื่องอื่นๆ: The proceeding of the National anti-corruption commission (NACC): Studying on the Authority and power of the Organic Law bill on counter corruption
ผู้แต่ง/ผู้ร่วมงาน: เสาวนีย์ อัศวโรจน์, อาจารย์ที่ปรึกษา
ปิยาภรณ์ เจริญไชย, 2532- ผู้แต่ง
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชานิติศาสตร์
คำสำคัญ: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชานิติศาสตร์ --การศึกษาเฉพาะกรณี
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิชาเอกกฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรม --การศึกษาเฉพาะกรณี
การทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมือง
การทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมือง--กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ
การศึกษาอิสระ--กฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรม
วันที่เผยแพร่: 2560
สำนักพิมพ์: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
บทคัดย่อ: การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีหลักการดำเนินคดีอาญา และวิเคราะห์ปัญหาการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตลอดจนมาตรการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจการดำเนินคดีอาญาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยทำการศึกษาอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือเรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ ป.ป.ช.” ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติวินิจฉัยกรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.... ผลการศึกษาพบว่า การฟ้องคดีเองของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้แสวงหาข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐาน และวินิจฉัยชี้มูลความผิดนั้นเป็นการใช้ดุลยพินิจเด็ดขาด ไม่มีการควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ หากเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ซึ่งกำหนดให้พนักงานอัยการเท่านั้นที่มีอำนาจพิจารณาฟ้องคดีต่อศาล ผู้เขียนจึงเสนอให้ แก้ไขเพิ่มเติมร่างฯ มาตรา 51โดยกำหนดให้พนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการไต่สวนในคดี สำคัญเพื่อกลั่นกรอง ตรวจสอบ ถ่วงดุล อันจะเป็นการลดปริมาณคดีที่มีข้อไม่สมบูรณ์ และควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างฯ มาตรา 66 โดยกำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ที่รายงานผลการดำเนินงานจัดทำ ความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือไม่ส่งไปพร้อมกับสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติวินิจฉัย หากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเห็นว่าข้อกล่าวหาใดมีมูลความผิดให้ส่งรายงานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลต่อไปเป็นการป้องกันมิให้ปฏิบัติหน้าที่ซํ้าซ้อนกัน อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพขอผู้ถูกกล่าวหาหรือพยาน
URI: https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/9160
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล:Law-Independent study

แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
แฟ้ม รายละเอียด ขนาดรูปแบบ 
Fulltext_158654.pdfเอกสารฉบับเต็ม45.58 MBAdobe PDFดู/เปิด


รายการนี้ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons License Creative Commons