Please use this identifier to cite or link to this item:
https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/13869
Title: | Extension Guidelines for Management Administration of Maize Collaborative Farming Groups In Nong Chang District, Uthai Thani Province แนวทางการส่งเสริมการบริหารจัดการกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี |
Authors: | SARIN INCHAI สรินทร์ อินไชย Sineenuch Khrutmuang Sanserm สินีนุช ครุฑเมือง แสนเสริม Sukhothai Thammathirat Open University Sineenuch Khrutmuang Sanserm สินีนุช ครุฑเมือง แสนเสริม [email protected] [email protected] |
Keywords: | แนวทางการส่งเสริม การบริหารจัดการกลุ่ม กลุ่มแปลงใหญ่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ Extension guideline Group management Collaborative farming group Maize |
Issue Date: | 28 |
Publisher: | Sukhothai Thammathirat Open University |
Abstract: | The objectives of this research were to study 1) personal information, basic social and economic conditions of maize collaborative farming group members 2) maize collaborative farming group management 3) problems regarding maize collaborative farming group management and 4) extension guidelines in the management of maize collaborative farming groups.This research was mix method research. The population of this study was 137 farmers who were members of maize collaborative farming group in Nong Chang district, Uthai Thani province who had registered in the collaborative farming extension system. This research was done on the entire population. Data were collected by using interview form and focus group. The quantitative analysis was done by using descriptive statistics such as frequency, percentage, minimum value, maximum value, mean, standard deviation, ranking. While the qualitative research were studied through focus group discussion with 12 relevant informants and analyzed using content analysis.The results of the research found that 1) 56.9% of farmers were female with the average age of 55.95 years old, 35.0% completed primary school education, had the average experience in maize production of 14.36 years, had the average member in the household of 3.82 people, held no social position, 89.8% had their main occupation of rice farming, 98.5êrned the average income from the agricultural sector of 245,107.30 Baht/year, and earned the average income outside of the agricultural sector of 40,612.90 Baht/year. 81.8% of farmers spent their personal money as their funding source and 64.2% had the credit source from the bank. 2) There was the management for maize collaborative farming in all 5 aspects such as planning, organizational management, personnel assignment for work, administration, and control, overall, were at the high level in all aspects with the group management at the highest level on administration 3) Farmers faced with the problems regarding the extension in collaborative farming group management in all 5 aspects, overall, at the lowest level. The most problematic issue was on assigning personnel to work. And 4) Farmers needed the extension guidelines regarding collaborative farming group management in all 5 aspects, overall, at the high level. The aspect needed in the extension guidelines for group management at the highest level was on planning. In the aspect that the group should determine the activity planning, production planning, marketing of maize of members together and the group should determine the targets, objectives, and direction of the group operation. การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ข้อมูลส่วนบุคคล สภาพพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกรสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 2) การบริหารจัดการกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3) ปัญหาการบริหารจัดการกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ 4) ความต้องการแนวทางการส่งเสริมการบริหารจัดการกลุ่มแปลงใหญ่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรที่ศึกษา คือ เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี ที่ขึ้นทะเบียนในระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่จำนวน 137 ราย โดยการวิจัยครั้งนี้ศึกษาจากประชากรทั้งหมด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การจัดอันดับ และการวิเคราะห์ข้อมูล เชิงคุณภาพด้วยการสนทนากลุ่มจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่เป็นผู้เกี่ยวข้องจำนวน 12 ราย และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรร้อยละ 56.9 เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 55.95 ปี ร้อยละ 35.0 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา มีประสบการณ์ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ย 14.36 ปี จำนวนสมาชิกในครัวเรือน เฉลี่ย 3.82 คน ไม่มีตำแหน่งทางสังคม ร้อยละ 89.8 ประกอบอาชีพหลักคือทำนา ร้อยละ 98.5 มีรายได้จากภาคการเกษตรเฉลี่ย 245,107.30 บาทต่อปี มีรายได้จากนอกภาคการเกษตรเฉลี่ย 40,612.90 บาทต่อปี เกษตรกรร้อยละ 81.8 ใช้เงินส่วนตัวเป็นแหล่งเงินทุนและร้อยละ 64.2 มีแหล่งสินเชื่อจากธนาคาร 2) มีการบริหารจัดการกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การวางแผน การจัดการองค์กร การจัดคนเข้าทำงาน การอำนวยการ และการควบคุม ในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกประเด็น โดยมีการบริหารจัดการกลุ่มสูงสุดในด้านการอำนวยการ 3) เกษตรกรมีปัญหาในการส่งเสริมการบริหารจัดการกลุ่มแปลงใหญ่ทั้ง 5 ด้านในภาพรวมอยู่ในระดับน้อยที่สุด โดยประเด็นที่เป็นปัญหาสูงสุด คือ ด้านการจัดคนเข้าทำงาน 4) เกษตรกรมีความต้องการแนวทางการส่งเสริมการบริหารจัดการกลุ่มแปลงใหญ่ทั้ง 5 ด้าน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งประเด็นที่มีความต้องการแนวทางการส่งเสริมการบริหารจัดการกลุ่มในระดับมากที่สุด คือ ด้านการวางแผน ในประเด็นที่กลุ่มควรมีการกำหนดแผนกิจกรรม แผนการผลิต การตลาดของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของสมาชิกร่วมกันและกลุ่มควรมีการกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์และทิศทางการดำเนินการของกลุ่มให้ชัดเจน |
URI: | https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/13869 |
Appears in Collections: | Agri-Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
2659001560.pdf | 1.72 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.