Please use this identifier to cite or link to this item: https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/1038
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorมัลลิกา มัสอูดีth_TH
dc.contributor.authorอนันนา บุญอยู่, 2516-th_TH
dc.contributor.otherมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สำนักบัณฑิตศึกษาth_TH
dc.date.accessioned2022-08-26T06:09:57Z-
dc.date.available2022-08-26T06:09:57Z-
dc.date.issued2554-
dc.identifier.urihttp://ir.stou.ac.th/handle/123456789/1038en_US
dc.descriptionวิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (ไทยคดีศึกษา))--มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2554th_TH
dc.description.abstractการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) บทบาทด้านการสอนและการส่งเสริมการศึกษา พระคัมภีร์ไบเบิลของมิชชันนารีพยานพระยะโฮวา (2) วิธีการแก้ปัญหาและอุปสรรคด้านการสอนและการส่งเสริมการศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลของมิชชันนารีพยานพระยะโฮวาและ (3) เปรียบเทียบวิธีการสอนและการส่งเสริมการศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลของมิชชันนารีพยานพระยะโฮวาระหว่าง พ.ศ. 2479 -2522 กับ พ.ศ. 2523 -2552 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาจากเอกสารและการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และการวิจัยแบบมีส่วนร่วม การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงมี 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ (1) มิชชันนารีพยาน พระยะโฮวาจำนวน 20 คน (2) นักศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลที่โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า จำนวน 20 คน (3) ประชาชนทั่วไปที่สนใจเรียนพระคัมภีร์ไบเบิลกับมิชชันนารีพยานพระยะโฮวา จำนวน 20 คน และใช้แนวทางวิเคราะห์ตามวิธีการทางประวัติศาสตร์ผลการวิจัยพบว่า (1) บทบาทด้านการสอนและการส่งเสริมการศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลของมิชชันนารีพยานพระยะโฮวามีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนพระคัมภีร์ไบเบิลที่โบสถ์ ตามบ้าน สวนสาธารณะและห้างสรรพสินค้า เพื่อเผยแผ่ความรู้ด้านคริสตธรรมและความเชื่อของนิกายพยานพระยะโฮวาให้แก่ประชาชนทั้งแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม (2) มิชชันนารีพยานพระยะโฮวาเมื่อมีความรู้สึกท้อถอยในการสื่อสารด้วยภาษาไทยจัดให้มีการนมัสการพระเจ้า จัดอบรมและเรียนภาษาไทย เพื่อเพิ่มพูนความรู้ อีกทั้งช่วยให้เหล่ามิชชันนารีเกิดความสามัคคี มีกาลังใจที่เข้มแข็งและมีความมุ่งมั่นในการสอนพระคัมภีร์ไบเบิล (3) วิธีการสอนและการส่งเสริม การศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิล ช่วงพ.ศ. 2479-2522 เป็นการจัดการสอนและส่งเสริมการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่ประชาชนผู้สนใจ แต่ค่อนข้างจำกัดเฉพาะกลุ่มบุคคลที่เข้าใจภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี เนื่องจากมิชชันนารีส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ส่วนช่วงพ.ศ. 2523-2552 เป็นการส่งเสริมการศึกษาอย่างต่อเนื่องที่มีความสอดคล้องกับการศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่เข้าถึงง่าย สนองตอบความต้องการของประชาชนทั่วไปที่สนใจซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และมีจำนวนมิชชันนารีชาวไทยเพิ่มขึ้น จึงไม่มีปัญหาด้านการสื่อสารด้วยภาษาไทย การแจกจ่ายเอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และการเรียนการสอนในสถานที่ต่าง ๆ ได้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอินเทอร์เน็ต จึงทำให้ช่องทางการสื่อสารมีความหลากหลาย เข้าถึงได้อย่างสะดวก และเข้าถึงได้ตลอดเวลาth_TH
dc.formatapplication/pdfen_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.rightsมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.rightsAttribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)en_US
dc.rights.urihttps://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/en_US
dc.sourceBorn digitalen_US
dc.subjectมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. แขนงวิชาไทยคดีศึกษา--วิทยานิพนธ์th_TH
dc.subjectมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาศิลปศาสตร์--วิทยานิพนธ์th_TH
dc.subjectไบเบิลth_TH
dc.subjectมิชชันนารี--ไทย--กรุงเทพฯth_TH
dc.subjectคริสต์ศาสนาth_TH
dc.titleบทบาทของมิชชันนารีพยานพระยะโฮวาด้านการสอนและการส่งเสริมการศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2479-2552th_TH
dc.title.alternativeJehovah's Witnesses Missionaries' role in the teaching and the furtherance of bible study in Bangkok 1936-2009en_US
dc.typeThesisen_US
dc.degree.nameศิลปศาสตรมหาบัณฑิตth_TH
dc.degree.levelปริญญาโทth_TH
dc.degree.disciplineสาขาวิชาศิลปศาสตร์th_TH
dc.degree.grantorมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.description.abstractalternativeThe purposes of research were (1) to study the Jehovah’s Witnesses Missionaries’ role in the teaching and the furtherance of Bible study, (2) to investigate the problems, difficulties, and methods of solving them, and (3) to compare their methods in the teaching and the furtherance of Bible study during the years 1936-1979 and 1980-2009. The research method is qualitative, using the data from collected documentary research and group interviews, as well as overt participant observation. The sampled populations for this research were (1) twenty Jehovah’s Witnesses Missionaries, (2) twenty Bible students in the Theocratic Ministry school, and (3) twenty interested people. The results of this research revealed that (1) the Jehovah’s Witnesses Missionaries made use of Bible learning activity in churches, homes, public parks, and also department stores in order to extend Christian knowledge and the belief of the Jehovah’s Witnesses both as individuals and in groups. (2) Whenever Jehovah’s Witnesses Missionaries had problems in Thai language communication, there were many activities to solve the problems, such as worship, training, learning Thai language courses for better skills as well as to further the unity of missionaries, and to have courage in teaching the Bible. (3) The method in the teaching and the furtherance of Bible study during the years 1936-1979 was informal education to promote lifelong education to interested people. However, the number of the interested people was limited to those who could communicate in English, because most of the missionaries were foreigners. During the years 1980-2009, the Jehovah’s Witnesses Missionaries’ method in the teaching and the furtherance of Bible study was a continuous promotion of education which was compatible with non-formal education. It was accessible and responsive to interested people who were able to study the Bible at any time and place. There was an increasing number of Thai missionaries, so there were no Thai communication problems. The publication and distribution of Bible learning activities in many places through the internet and information technology provided more variety of channels and enabled wider and more convenient access the Bible study at any time.en_US
dc.contributor.coadvisorพลับพลึง คงชนะth_TH
Appears in Collections:Arts-Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
fulltext (16).pdfเอกสารฉบับเต็ม18.01 MBAdobe PDFView/Open


This item is licensed under a Creative Commons License Creative Commons