Please use this identifier to cite or link to this item: https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/11821
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorขจรศักดิ์ สิทธิth_TH
dc.contributor.authorสุพิศ หอมหวล, 2531-th_TH
dc.contributor.otherมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชารัฐศาสตร์th_TH
dc.date.accessioned2024-04-02T07:26:21Z-
dc.date.available2024-04-02T07:26:21Z-
dc.date.issued2564-
dc.identifier.urihttps://ir.stou.ac.th/handle/123456789/11821en_US
dc.description.abstractการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุในตำบลโคกเจริญ อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา (2) เพื่อศึกษาลักษณะการสื่อสารทางการเมืองในสังคมผู้สูงอายุกับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลโคกเจริญ อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา (3) เพื่อศึกษาผลของการสื่อสารทางการเมืองในสังคมผู้สูงอายุต่อการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ผ่านการวิจัยเอกสาร และการเก็บรวบรวมข้อมูลจากภาคสนาม โดยใช้การสัมภาษณ์และการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และผู้สูงอายุซึ่งมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโคกเจริญ อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา ซึ่งมาจากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) จานวน 10 คน ผลการวิจัยพบว่า (1) ผู้สูงอายุมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการในการสื่อสารทางการเมือง ผู้สูงอายุสามารถรับรู้ข้อมูลการสื่อสารทางการเมืองที่หลากหลายอย่างเห็นได้ชัดและรวดเร็วมากขึ้น (2) การสื่อสารทางการเมืองในสังคมผู้สูงอายุต่อการเลือกตั้งได้มีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในอดีต โดยรูปแบบการสื่อสารทางการเมืองรูปแบบเดิม คือ ผู้สมัครจะเดินหาเสียง ตามพื้นที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด วัด มัสยิด ศาสนสถานหรืองานกิจกรรมทางต่างๆ ที่ได้จัดขึ้น ส่วนรูปแบบการสื่อสารทางการเมืองรูปแบบใหม่ คือ ปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบใหม่ในการหาเสียงเลือกตั้งมีการประชาสัมพันธ์ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ทางเฟซบุ๊ค หรือไลน์ควบคู่กับการหาเสียงในรูปแบบการสื่อสารทางการเมืองรูปแบบเดิม (3) ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เห็นถึงความสำคัญของผู้สูงอายุจึงได้เน้นการหาเสียงในกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น เนื่องจากฐานะคะแนนเสียงในกลุ่มผู้สูงอายุสามารถเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้งได้ แต่ปัญหาการสื่อสารทางการเมืองของผู้สูงอายุยังคงมีอยู่จากความสามารถทางเทคโนโลยี หรือปัญหาความเสื่อมถอยตามธรรมชาติของร่างกาย แต่ปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวมีผลกระทบน้อยต่อแนวโน้มการสื่อสารทางการเมืองในรูปแบบใหม่ในหมู่ผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุไม่ใช่ผู้ที่ไร้ความสามารถทางเทคโนโลยีแต่อย่างใดth_TH
dc.formatapplication/pdfen_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.rightsมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.rightsAttribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)en_US
dc.rights.urihttps://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/en_US
dc.sourceBorn digitalen_US
dc.subjectการสื่อสารทางการเมืองth_TH
dc.subjectผู้สูงอายุ--กิจกรรมทางการเมืองth_TH
dc.subjectการสื่อสาร--แง่การเมืองth_TH
dc.subjectการเลือกตั้งท้องถิ่น--ไทย--พังงา.th_TH
dc.subjectมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชารัฐศาสตร์--การศึกษาเฉพาะกรณีth_TH
dc.subjectมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิชาเอกการเมืองการปกครอง--การศึกษาเฉพาะกรณีth_TH
dc.titleการสื่อสารทางการเมืองในสังคมผู้สูงอายุกับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลโคกเจริญ อำเภอทับปุด จังหวัดพังงาth_TH
dc.title.alternativePolitical communication in the elderly society and the election of the Chief Executive of the Subdistrict Administrative Organization: a case study of Khok Charoen Subdistrict Administrative Organization, Thap Put District, Phang Nga Provinceen_US
dc.typeThesisen_US
dc.degree.nameรัฐศาสตรมหาบัณฑิตth_TH
dc.degree.levelปริญญาโทth_TH
dc.degree.disciplineสาขาวิชารัฐศาสตร์th_TH
dc.degree.grantorมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชth_TH
dc.description.abstractalternativeThe objectives of this study were (1) to study the changes of the elderly in Khok Charoen Sub-district, Thap Put District, Phang Nga Province, (2) to study the characteristics of political communication in the elderly society and the election of the Chief Executive of the Subdistrict Administrative Organization in Khok Charoen Subdistrict Administrative Organization, Thap Put District, Phang Nga Province and (3) to study the effect of political communication in the elderly society and the election of the Chief Executive of the Subdistrict Administrative Organization in Khok Charoen Subdistrict Administrative Organization, Thap Put District, Phang Nga Province. This study was qualitative research that gathered data from a literature review, interviews, and participant observations. The key informants were the Chief Executive of the Subdistrict Administrative Organization and the elderly who were over 60 years old in the Khok Charoen Subdistrict Administrative Organization, Thap Put District, Phang Nga Province. The total number of purposive samples was 10 people. The study found that (1) the elderly had changes in political communication behavior. The elderly were able to quickly and clearly understand a wide range of political information. (2) The political communication in the elderly society on elections has changed from the past. The former pattern of political communication was that candidates would campaign in community areas such as markets, temples, mosques, religious sites, and public areas. On the other hand, a new pattern of political communication was digital technology in the election campaign, which was publicized via social media via Facebook or LINE, along with the campaign in the former pattern of political communication. (3) The candidates understood the importance of the elderly and focused more on campaigning among them because the voting status of the elderly could be a key factor in the election results. However, the problem of political communication among the elderly was caused by technological capability and the natural deterioration of the body. Those problems had little impact on the new pattern of political communication because the elderly had sufficient technological capability.en_US
Appears in Collections:Pol-Independent study

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
FULLTEXT.pdfเอกสารฉบับเต็ม14.31 MBAdobe PDFView/Open


This item is licensed under a Creative Commons License Creative Commons