Please use this identifier to cite or link to this item:
https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/13729
Title: | รูปแบบการออมที่เหมาะสมเพื่อวัยเกษียณของพนักงานภาครัฐและพนักงานภาคเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร |
Other Titles: | Appropriate Saving Model for Retirement of Government and Private Sector Employees in Bangkok Metropolis |
Authors: | พัชรี ผาสุข รุ่งนภา ทวีชัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สำนักบัณฑิตศึกษา อภิญญา วนเศรษฐ |
Keywords: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์--วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิชาเอกเศรษฐศาสตร์--วิทยานิพนธ์ รายได้การเกษียณอายุ การออมกับการลงทุน |
Issue Date: | 2566 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช |
Abstract: | การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการออมเพื่อวัยเกษียณของพนักงานภาครัฐและพนักงานภาคเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษารูปแบบการออมที่เหมาะสมเพื่อวัยเกษียณของพนักงานภาครัฐและพนักงานภาคเอกชนในเขตกรุงเทพมหานครประชากรในการทำวิจัยครั้งนี้ คือ พนักงานภาครัฐและพนักงานภาคเอกชนอายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 5,494,932 คน โดยกลุ่มตัวอย่าง มีจำนวน 445 คน คำนวณด้วยสูตรทาโร่ ยามาเน่ ที่ความคลาดเคลื่อน 0.05 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอนประกอบด้วย การสุ่มแบบโควตา และวิธีการสุ่มแบบบังเอิญ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิตเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์รูปแบบการออมที่เหมาะสมด้วยแบบจำลองการรอดชีพผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานภาครัฐส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31-40 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาระดับปริญญาตรี รายได้ต่อเดือน 10,001 ถึง 30,000 บาท มีการออมกับสหกรณ์ออมทรัพย์มากที่สุด รองลงมาคือ ธนาคารพาณิชย์และหน่วยบริหารจัดการกองทุนรวม โดยมีสัดส่วนเงินออมประมาณ ร้อยละ 1 ถึง 5 ของรายได้ต่อเดือน พนักงานภาคเอกชนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 31-40 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาระดับปริญญาตรี มีรายได้ต่อเดือน 10,001 ถึง 30,000 มีการออมกับสหกรณ์ออมทรัพย์ของหน่วยงานมากที่สุด รองลงมาคือ ธนาคารพาณิชย์ และ ซื้อทองคำ/เครื่องประดับ โดยมีสัดส่วนเงินออมประมาณ ร้อยละ 1 ถึง 5 ของรายได้ต่อเดือน 2) พนักงานภาครัฐมีรูปแบบการออมที่เหมาะสมมากที่สุด คือ สหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณเงินออมเพิ่มขึ้น 5.192 เท่า เมื่อเทียบกับการออมในรูปแบบอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ขณะที่พนักงานภาคเอกชน มีรูปแบบการออมที่เหมาะสมมากที่สุด คือ การซื้อกองทุนรวม ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณเงินออมเพิ่มขึ้น 3.135 เท่า เมื่อเทียบกับการออมในรูปแบบอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 |
Description: | วิทยานิพนธ์ (ศ.ม. (เศรษฐศาสตร์))--มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2566 |
URI: | https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/13729 |
Appears in Collections: | Econ-Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
2636000271.pdf | 1.08 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.