กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้:
https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/2791
ชื่อเรื่อง: | การใช้พลุสารดูดความชื้นที่มีผลต่อลักษณะเมฆฟิสิกส์ที่ระดับฐานเมฆคิวมูลัส |
ชื่อเรื่องอื่นๆ: | Effects of hygroscopic flares on characteristics of cloud physics at the cumulus cloud base |
ผู้แต่ง/ผู้ร่วมงาน: | พงศ์พันธุ์ เธียรหิรัญ หนึ่งหทัย ตันติพลับทอง, 2513- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาเกษตรศาสตร์และสหกรณ์ |
คำสำคัญ: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาเกษตรศาสตร์และสหกรณ์--การศึกษาเฉพาะกรณี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. แขนงวิชาการจัดการการเกษตร--การศึกษาเฉพาะกรณี เมฆ การศึกษาอิสระ--การจัดการการเกษตร |
วันที่เผยแพร่: | 2556 |
สำนักพิมพ์: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช |
บทคัดย่อ: | การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการใช้พลุสารดูดความชื้นสูตรโซเดียมคลอไรด์และสูตรแคลเซียมคลอไรด์ที่มีผลต่อลักษณะเมฆฟิสิกส์ท่ีระดับฐานเมฆ คิวมูลัส วิธีการทดลองใช้หน่วยทดลองที่ได้มาจากข้อมูลทุติยภูมิภายใต้โครงการทดสอบประสิทธิภาพพลุสารดูดความชื้นเสริมการปฏิบัตืการฝนหลวงเมฆอุ่น ตั้งแต่ปี 2552 – 2554 โดยจำแนกหน่วยทดลองออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มเมฆที่ไม่ใช้พลุสารดูดความชื้น จำนวน 3 ตัวอย่าง กลุ่มเมฆที่ใช้พลุสูตรโซเดียมคลอไรด์ จำนวน 6 ตัวอย่าง และกลุ่มเมฆที่ใช้พลุสูตรแคลเซียมคลอไรด์ จำนวน 9 ตัวอย่าง ข้อมูลเมฆฟิสิกส์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ปริมาณน้ำ ขนาด และปริมาณความเข้มข้น ของเม็ดน้ำ ที่ได้จากเครี่องมือตรวจวัดอนุภาคขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 47 ไมครอนที่ติดตั้ง บนเครื่องบินวิจัยเมฆฟิสิกส์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ทำการเปรียบเทียบข้อมูลเมฆฟิสิกส์ระหว่างก่อนใช้กับหลังใช้พลุสารดูดความชื้นด้วยวิธี paired samples t-test และเปรียบเทียบความแตกต่างของ ค่าเฉลี่ยข้อมูลเมฆฟิสิกส์ด้วยวิธี independent samples t-test ผลการศึกษาพบว่า เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างก่อนใช้กับหลังใช้พลุสารดูดความชื้น ด้วยวิธี paired samples t-test ปรากฎว่ากลุ่มเมฆที่ไม่ใช้พลุสารดูดความชื้นกับกลุ่มเมฆที่ใช้พลุสูตรโซเดียมคลอไรด์ ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติที่ระดับ นัยสำคัญ 0.05 ทั้งปริมาณน้ำ ขนาดและปริมาณความเข้มข้นของเม็ดน้ำ แต่พบว่า เม็ดน้ำของกลุ่ม เมฆที่ใช้พลุสูตรแคลเซียมคลอไรด์ มีขนาดใหญ่ขึ้นหลังการชัพลุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัย สำคัญ 0.05 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยข้อมูลเมฆฟิสิกส์ด้วยวิธี independent samples t-test พบว่า กลุ่มเมฆทั้งสามกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำ ขนาดและปริมาณความเข้มข้นของเม็ดน้ำ ไม่แตกต่างกันทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 จากการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของข้อมูลเมฆฟิสิกส์ กล่าวได้ว่า กลุ่มเมฆที่มีการใช้พลุสารดูดความชื้นทั้งสองสูตรมีแนวโน้มช่วยให้เม็ดน้ำที่ระดับฐานเมฆเกิดการรวมตัวกัน จนมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ดีกว่า การรวมตัวกันตามธรรมชาติ และกลุ่มเมฆที่ใช้พลุสูตรแคลเซียมคลอไรด์ มีขนาดเม็ดน้ำใหญ่กว่ากลุ่มเมฆที่ใช้พลุสูตรโซเดียมคลอไรด์ และกลุ่มเมฆที่ใช้พลุสูตรโซเดียมคลอไรด์ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำ และปริมาณความเข้มข้น ของเม็ดน้ำได้ดีกว่ากลุ่มเมฆที่ใช้พลุสูตรแคลเซียมคลอไรด์ |
URI: | https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/2791 |
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล: | Agri-Independent study |
แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
แฟ้ม | รายละเอียด | ขนาด | รูปแบบ | |
---|---|---|---|---|
FULLTEXT_138433.pdf | เอกสารฉบับเต็ม | 13.35 MB | Adobe PDF | ดู/เปิด |
รายการนี้ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons License