Please use this identifier to cite or link to this item:
https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/5607Full metadata record
| DC Field | Value | Language |
|---|---|---|
| dc.contributor.advisor | สัจจา บรรจงศิริ, อาจารย์ที่ปรึกษา | th_TH |
| dc.contributor.advisor | วรรธนัย อ้นสำราญ, อาจารย์ที่ปรึกษา | th_TH |
| dc.contributor.advisor | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สำนักบัณฑิตศึกษา | th_TH |
| dc.contributor.author | วราภรณ์ บุญเครือ, 2534- | - |
| dc.date.accessioned | 2023-04-25T04:04:01Z | - |
| dc.date.available | 2023-04-25T04:04:01Z | - |
| dc.date.issued | 2564 | - |
| dc.identifier.uri | https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/5607 | - |
| dc.description | วิทยานิพนธ์ (กษ.ม. (การจัดการการเกษตร)) -- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2564 | th_TH |
| dc.description.abstract | การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในพื้นที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา 2) สภาพการผลิตและการจัดการส่วนประสมการตลาดของข้าวขาวดอกมะลิ 105 ของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา 3) ปัญหาในการผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในพื้นที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา 4) แนวทางการพัฒนาการผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในพื้นที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกร ส่วนมากเป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 52.73 ปี จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 มีสมาชิกในครัวเรือน 4 คน ส่วนใหญ่ไม่เป็นผู้นำในชุมชน และเป็นสมาชิกกลุ่มทางการเกษตร มีอาชีพอื่น คือรับจ้างทั่วไป มีพื้นที่ทำนาปีเฉลี่ย 14.19 ไร่ พื้นที่ปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 เฉลี่ย 12.38 ไร่ ส่วนใหญ่มีที่ดินเป็นของตนเอง เฉลี่ย 11.86 ไร่ แรงงานในครัวเรือน เฉลี่ย 2.23 คน และจ้างบางส่วน ปลูกข้าวปีละ 1 ครั้ง ใช้เงินทุนของตนเอง 2) สภาพการผลิตและส่วนประสมการตลาด พบว่า เกษตรกรเริ่มปลูกข้าวในช่วงเดือนมิถุนายน และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน พื้นที่นาส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่ม ดินเป็นดินร่วนปนทราย ทำนาอาศัยนํ้าฝน ปลูกข้าวโดยหว่านข้าวแห้ง ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 15 – 20 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนใหญ่ใช้แรงงานคน ใช้ปุ๋ยเคมี เก็บเกี่ยวข้าวโดยใช้รถเกี่ยวนวด หลังจากเก็บเกี่ยวส่วนใหญ่นำไปตากแดดเพื่อลดความชื้น ส่วนประสมการตลาด เกษตรกรส่วนใหญ่จำหน่ายข้าวที่ลดความชื้นแล้ว ขายในราคาตันละ 12,000 – 14,000 บาท ขายให้กับโรงสีข้าว 3) ปัญหาที่พบได้แก่ ด้านต้นทุนการผลิต ปัจจัยการผลิตที่มีราคาแพง ขาดแหล่งนํ้าสำรอง ผลผลิตมีราคาตํ่า และขาดความรู้ในด้านต่างๆ และ 4) แนวทางการพัฒนาโดยส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มในการจัดซื้อปัจจัยการผลิต สนับสนุนปัจจัยการผลิต จัดอบรมให้ความรู้เพิ่มเติม การผลิตสินค้าให้มีมาตรฐาน มีการแปรรูปเพิ่มมูลค่า และการทำการตลาดออนไลน์. | th_TH |
| dc.format | application/pdf | en_US |
| dc.language.iso | th | en_US |
| dc.publisher | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช | th_TH |
| dc.rights | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช | th_TH |
| dc.rights | Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) | en_US |
| dc.rights.uri | https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ | en_US |
| dc.source | Born digital | en_US |
| dc.subject | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ --วิทยานิพนธ์ | th_TH |
| dc.subject | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. แขนงวิชาการจัดการการเกษตร --วิทยานิพนธ์ | th_TH |
| dc.subject | ข้าว--ไทย--การผลิต. | th_TH |
| dc.title | แนวทางการพัฒนาการผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา | th_TH |
| dc.title.alternative | Guidelines for production development of Khao Dawk Mali 105 Rice in Bua Yai district, Nakhon Ratchasima Province | en_US |
| dc.type | Thesis | en_US |
| dc.degree.name | เกษตรศาสตรมหาบัณฑิต | th_TH |
| dc.degree.level | ปริญญาโท | th_TH |
| dc.degree.discipline | สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ | th_TH |
| dc.degree.grantor | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช | th_TH |
| dc.description.abstractalternative | This research aims were to study 1) basic socio-economic data of the farmers who grow Khao Dawk Mali 105 rice in Bua Yai District, Nakhon Ratchasima Province; 2) production conditions and marketing mix management of those farmers; 3) problems of Khao Dawk Mali 105 rice production in the study area; and 4) the development guidelines for Khao Dawk Mali 105 rice production in Bua Yai District, Nakhon Ratchasima Province. This research was a mixed methods research. The quantitative research was done by using questionnaires. The population was 12,356 farmers who grow Khao Dawk Mali 105 rice registered with the Bua Yai District Agricultural Extension Office in 2020/21. A total of 388 samples were identified by Taro Yamane method. The sampling was a quota sample in each sub-district. Data were analyzed by the statistics of frequency, percentage, mean, absolute min-max and standard deviation. For the qualitative research, group meetings were observed of the 22 community leaders and agricultural extension officers in the area. The data were analyzed by content analysis. The study found that: 1) For farmers' socio-economic conditions, most of the farmers were male, with an average age of 52.73, education level of grade 4 and the average number of family members was 4. They were not community leaders. They were members of agricultural groups. Other occupations were general laborers. The average Khao Dawk Mali 105 rice cultivation area average was 12.38 rai (1.98 hectares). Most of them had their own land, averaging 11.86 rai (1.9 hectares). On average they used household labor of 2.23 people and also partly used hired labor. They grew rice once a year by their own cost. 2) For production conditions and marketing mix management, it was found that the farmers planted rice in June, and harvested in November. The area for growing rice was lowland with sandy loam soil and was rain fed. They grew rice by sowing dry rice seeds, using 15-20 kg seed/rai (1,600 m2), mostly using human labor, used chemical fertilizers, and harvested rice by using combine harvesters. After harvesting, most of the rice was taken to be dried in the sun to reduce humidity, about 12,000 – 14,000 bahts per ton and sold to rice mill. 3) The problems found included high production costs, expensive inputs, lack of reserve water, the low price of the product and lack of knowledge in various fields. 4) Development guidelines were to encourage farmers to join groups for purchasing production factors, to provide input subsidies, to organize training to provide additional knowledge, to standardize production, to introduce more processed products to add value, and to use online marketing. | en_US |
| Appears in Collections: | Agri-Theses | |
Files in This Item:
| File | Description | Size | Format | |
|---|---|---|---|---|
| FULLTEXT.pdf | เอกสารฉบับเต็ม | 15.6 MB | Adobe PDF | View/Open |
This item is licensed under a Creative Commons License
