ปัจจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการออมของบุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) พฤติกรรมการออมของบุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์ (2) ปัจจัยส่วนบุคคลของบุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์ (3) ปัจจัยภายในองค์การของบุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออม และ (4) ปัญหาและอุปสรรคในการออมของบุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้คือ บุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์ จำนวน375 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ เพื่อหาตัวแปรอิสระที่ทำนายพฤติกรรมการออม โดยกำหนดระดับนัยสำคัญไว้ที่ระดับ 0.05ผลการวิจัยพบว่า (1) พฤติกรรมการออมของบุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์ส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดเงินออมในแต่ละเดือนไว้แน่นอน โดยจะออมตามเงินที่เหลือ ระยะเวลาในการเลือก ออมเป็นระยะปานกลาง 1-5 ปี เหตุผลหลักในการออมเงินคือ เพื่อไว้ใช้รักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยปริมาณเงินออมเฉลี่ยต่ำกว่า 2,001 บาท/เดือน ส่วนใหญ่ออมเป็นเงินสด และเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มีการออมมากขึ้น (2) ปัจจัยส่วนบุคคลของบุคลากรกรมส่งเสริมสหกรณ์ ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเพศหญิง สมรสแล้ว มีอายุระหว่าง 41- 50 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี มีรายได้ระหว่าง 10,001 - 15,000 บาท/เดือน จำนวนสมาชิกทั้งหมดภายในครอบครัวมี 3 คน จำนวนผู้มีรายได้ 2 คน รายได้ทั้งครอบครัวน้อยกว่า 30,001 บาท/เดือน รายจ่ายส่วนตัว 5,001- 10,000 บาท/เดือน รายจ่าย ของครอบครัวน้อยกว่า 30,001 บาท/เดือน (3) ปัจจัยภายในองค์การของบุคลากรกรมส่งเสริม สหกรณ์ ในการตัดสินใจเลือกรูปแบบการออมคือ ปัจจัยทางด้านผลตอบแทน และ(4) ปัญหาและ อุปสรรคในการออมคือภาวะหนี้สินต่างๆ ได้แก่ ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้านหรือผ่อนที่ดิน