Please use this identifier to cite or link to this item:
https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/8088
Title: | มาตรการทางกฏหมายในการควบคุมการใช้สเปรย์พริกไทย |
Other Titles: | Legal control measure for using pepper spray |
Authors: | สิริพันธ์ พลรบ กนกอร ภูวดลไพโรจน์, 2530- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชานิติศาสตร์ |
Keywords: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชานิติศาสตร์--การศึกษาเฉพาะกรณี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิชาเอกกฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรม--การศึกษาเฉพาะกรณี สเปรย์พริกไทย การป้องกันตัว (กฎหมาย) การป้องกันตัว--เครื่องมือและอุปกรณ์ การศึกษาอิสระ--กฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรม |
Issue Date: | 2562 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช |
Abstract: | การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาถึงแนวคิด ทฤษฎี ทางกฎหมายอาญาและอาชญาวิทยาเกี่ยวกับสิทธิในการป้องกันตัว และหลักการกำหนดอัตราโทษ (2) ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสเปรย์พริกไทย เกี่ยวกับการครอบครองและพกพา (3) วิเคราะห์ถึงปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการในการครอบครองและควบคุมการพกพาสเปรย์พริกไทย และ (4) เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมาตรการในการครอบครองและพกพาสเปรย์พริกไทยที่เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิธีวิจัยทางเอกสาร จากการศึกษาค้นคว้าตำราทางวิชาการ วารสาร บทความ รายงานการวิจัย ตัวบทกฎหมาย รวมทั้งคาพิพากษาที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อมูลที่ทำการศึกษามาวิเคราะห์หาแนวทางที่เหมาะสมในการเสนอแนะแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ผลการศึกษาพบว่า (1) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแต่ละฉบับ จะมีการกำหนดในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ โดยประชาชนทุกคนจะมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของตนเอง ผู้อื่นไม่สามารถมาละเมิดได้ แต่การจะลงโทษผู้กระทำผิดก็ต้องคำนึงถึงความหนัก-เบาของการกระทำความผิดเป็นสำคัญ (2) การกำหนดความผิดสำหรับการครอบครองสเปรย์พริกไทยถูกกำหนดตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ที่กำหนดให้สารแคปไซซินที่เป็นส่วนประกอบในสเปรย์พริกไทยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ที่ห้ามครอบครองโดยเด็ดขาด จึงทำให้สเปรย์พริกไทยถูกห้ามครอบครองตามกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน (3) ปัญหาที่พบจากการศึกษา พบว่าจากข้อเท็จจริงสเปรย์พริกไทยเป็นอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการป้องกันตัว และเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับใช้พกพาในการป้องกันตัว ประกอบกับการออกฤทธิ์ของสเปรย์พริกไทยไม่ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับสารถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบของสารแคปไซซินในปริมาณที่ไม่มาก การกำหนดอัตราโทษของการครอบครองสเปรย์พริกไทยที่มีส่วนผสมของสารแคปไซซินเพียงเล็กน้อยและเพื่อใช้สอยส่วนตัวจึงไม่ควรที่จะกำหนดอัตราโทษเทียบเท่ากับการครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 อีกทั้งบทกำหนดโทษของการใช้สเปรย์พริกไทยในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็มีประมวลกฎหมายอาญาที่เป็นบทกฎหมายในการลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดที่มีความเหมาะสมและเพียงพออยู่แล้ว และ (4) ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะให้การครอบครองสเปรย์พริกไทยที่เป็นการใช้สอยส่วนบุคคลได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับของวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้พกพาและผู้จำหน่าย เพื่อควบคุมให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมและเพื่อความปลอดภัยของประชาชนอีกทางหนึ่ง |
URI: | https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/8088 |
Appears in Collections: | Law-Independent study |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
FULLTEXT (4).pdf | เอกสารฉบับเต็ม | 12.66 MB | Adobe PDF | View/Open |
This item is licensed under a Creative Commons License