Please use this identifier to cite or link to this item:
https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/1002
Title: | กระบวนการพัฒนาพรรคการเมืองสู่ความเป็นสถาบันการเมือง : กรณีศึกษาเปรียบเทียบพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทย |
Other Titles: | The Process of development of a political party into a political institution : a case study comparing the Democratic Party and the Thai Rak Thai Party |
Authors: | เสนีย์ คำสุข นคร มาฉิม, 2509- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สำนักบัณฑิตศึกษา รุ่งพงษ์ ชัยนาม |
Keywords: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชารัฐศาสตร์ -- วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. แขนงวิชาการเมืองการปกครอง -- วิทยานิพนธ์ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทย พรรคการเมือง -- ไทย สถาบันการเมือง |
Issue Date: | 2557 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช |
Abstract: | การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาเปรียบเทียบกระบวนการพัฒนาสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคไทยรักไทย (2) ศึกษาเปรียบเทียบปัญหา และอุปสรรคในกระบวนการพัฒนาไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคไทยรักไทย และ (3) ให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาพรรคการเมืองไทยไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมือง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ก่อตั้ง ผู้บริหารและอดีตผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทยรวม จำนวน 22 คน ผู้วิจัยใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์และจากเอกสาร และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า (1) พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาเรื่องการจัดการภายในองค์กรของพรรคยังมีความแตกแยก และขาดเอกภาพทำให้พรรคอ่อนแอ ส่วนปัจจัยภายนอกที่มีการรัฐประหารบ่อยครั้ง กิจกรรมพรรคขาดความต่อเนื่อง ประกอบกับกฎหมายที่เป็นอุปสรรคไม่ส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งของพรรคการเมือง ทำให้พรรคยังไม่ถือได้ว่าเป็นสถาบันการเมือง ส่วนพรรคไทยรักไทยมีสาขาพรรคน้อยเกินไป ไม่รองรับความใหญ่โตของพรรค มีการตัดสินใจแบบรวมศูนย์ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์จนถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคเพราะถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมาย อายุพรรคจึงขาดความต่อเนื่อง (2) แม้ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีสาขาพรรคจำนวนมาก แต่ยังขาดพลังดึงมวลชนเข้ามาเป็นแนวร่วมจึงยังแพ้การเลือกตั้ง ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ส่วนพรรคไทยรักไทยแม้จะเป็นพรรคขนาดใหญ่ แต่อำนาจรวมศูนย์เกินไป อีกทั้งไม่มีสาขาพรรครองรับความเติบโตและกลุ่มอำนาจจารีตนิยมต่อต้านและกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายจนถูกยุบพรรค และที่สำคัญที่สุดคือการทำรัฐประหารของทหารและกลุ่มอนุรักษ์นิยมเป็นการทำลายพรรคการเมืองไม่ให้ มีโอกาสพัฒนาไปสู่ความเป็นสถาบัน (3) พรรคการเมืองไทยควรปรับปรุงการบริหารจัดการองค์กรอย่างเป็น เอกภาพลดปัญหาความขัดแย้งและแตกแยกภายในกองทัพต้องยุติบทบาทการทหารนำการเมืองและถอยกลับมาสู่การเป็นทหารอาชีพ พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองควรตอบสนองผลประโยชน์สาธารณะมากกว่าการแสวงผลประโยชน์เข้ากลุ่ม ตลอดจนสนับสนุนส่งเสริมภาคประชาชนและภาคประชาสังคมให้ได้รับข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ความเข้าใจในการมีส่วนร่วมและตรวจสอบการดำเนินงานของพรรคพรรคการเมือง และที่สำคัญต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนให้รู้เท่าทันและเป็นเกราะกำบังพรรคจากการรัฐประหารก็จะทำให้พรรคการเมืองมีโอกาสพัฒนาไปเป็นสถาบันการเมืองได้ |
Description: | วิทยานิพนธ์ (ร.ม. (การเมืองการปกครอง))--มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2557 |
URI: | http://ir.stou.ac.th/handle/123456789/1002 |
Appears in Collections: | Pol-Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
Thesbib148166.pdf | เอกสารฉบับเต็ม | 36 MB | Adobe PDF | View/Open |
This item is licensed under a Creative Commons License