Please use this identifier to cite or link to this item:
https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/6220
Full metadata record
DC Field | Value | Language |
---|---|---|
dc.contributor.advisor | สุจินต์์ วิศวธีรานนท์, อาจารย์ที่ปรึกษา | th_TH |
dc.contributor.advisor | ดวงเดือน พินสุวรรณ์, อาจารย์ที่ปรึกษา | th_TH |
dc.contributor.author | สินีนาถ ยาฝาด, 2524- | - |
dc.contributor.other | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สำนักบัณทิตศึกษา | th_TH |
dc.date.accessioned | 2023-05-26T04:25:40Z | - |
dc.date.available | 2023-05-26T04:25:40Z | - |
dc.date.issued | 2560 | - |
dc.identifier.uri | https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/6220 | - |
dc.description.abstract | การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาก่อนเรียน และหลังเรียน ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษา (2) เพ่ือเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษา (3) เพื่อศึกษาคะแนนพัฒนาการของความสามารถในการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ของนักัเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษา และ (4) เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการความคิดสร้างสรรค์ระหว่างความคิดคล่อง ความคิดยืดหยุ่น และความคิดริเริ่มของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 22 คน ของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดกลางแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัด การเรียนรู้โดยใชแ้ นวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา และแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัยปรากฏว่า (1) ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 (2) ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษาส่วนใหญ่มีคะแนนพัฒนาการความสามารถในการแก้ปัญหาอยู่ในระดับกลาง คิดเป็นร้อยละ 59.09 และส่วนใหญ่มีคะแนนพัฒนาการความสามารถในการคิดสร้างสรรค์อยู่ในระดับสูงถึงสูงมาก คิดเป็นร้อยละ 45.46 และ (4) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษามีพัฒนาการความคิดสร้างสรรค์ด้านความคิดคล่อง ความคิดยืดหยุ่น และความคิดริเริ่มแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยนักเรียนสามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ด้านความคิดคล่องได้ดีที่สุด รองลงมาคือ ความคิดยืดหยุ่น และความคิดริเร่ิมตามลำดับ | th_TH |
dc.format | application/pdf | en_US |
dc.language.iso | th | th_TH |
dc.publisher | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช | th_TH |
dc.relation.uri | https://www.doi.org/ | - |
dc.rights | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช | th_TH |
dc.rights | Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) | en_US |
dc.rights.uri | https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ | en_US |
dc.source | Born digital | en_US |
dc.subject | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ --วิทยานิพนธ์ | th_TH |
dc.subject | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิชาเอกวิทยาศาสตร์ศึกษา --วิทยานิพนธ์ | th_TH |
dc.subject | การแก้ปัญหา--การศึกษาและการสอน (ประถมศึกษา) | th_TH |
dc.subject | ความคิดสร้างสรรค์ในเด็ก | th_TH |
dc.title | ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางสะเต็มศึกษาเรื่องสารในชีวิตประจำวันที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนประถมศึกษาขนาดกลาง จังหวัดยะลา | th_TH |
dc.title.alternative | The effects of learning management using STEM education in the topic of substances in everyday life on problem solving ability and creative thinking of Prathom Suksa VI students at middle sized primary school in Yala Province | th_TH |
dc.type | Thesis | th_TH |
dc.degree.name | ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (วิทยาศาสตร์ศึกษา) | th_TH |
dc.degree.level | ปริญญาโท | th_TH |
dc.degree.discipline | สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ | th_TH |
dc.degree.grantor | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช | th_TH |
dc.description.abstractalternative | The purposes of this study were (1) to compare the problem solving abilities of Prathom Suksa VI students before and after learning under learning management using STEM Education; (2) to compare the creative thinking scores of Prathom Suksa VI students before and after learning under learning management using STEM Education; (3) to study the problem solving ability and creative thinking gain scores of Prathom Suksa VI students learning under learning management using STEM Education; (4) to compare the creative thinking gain scores between the fluency thinking, flexibility thinking, and originality thinking of students learning under learning management using STEM Education. The research sample consisted of 22 Prathom Suksa VI students of a middle sized primary school in Yala province, obtained by cluster random sampling. The research instruments used in this study were STEM Education learning management plans in the topic of Substances in Everyday Life, a problem solving ability test; and a creative thinking test. The data were analyzed using the mean, standard deviation, t- test, and analysis of variance. The research findings revealed that (1) the post-learning problem solving ability scores of the students learning under learning management using STEM Education were significantly higher than their pre-learning counterpart scores at the .01 level of significance; (2) the post-learning creative thinking scores of the students learning under learning management using STEM Education were significantly higher than their pre-learning counterpart scores at the .01 level of significance; ( 3 ) the students learning under learning management using STEM Education mostly (59.09 %) had the problem solving gain scores in the moderate level, and 45.46% of students had the creative thinking gain scores in the high and very high levels; ( 4) the fluency thinking, flexibility thinking and originality thinking gain scores of students learning under learning management using STEM Education were significantly different at the .01 level of significance, and students were best able to develop fluency thinking, followed by flexibility thinking and originality thinking, respectively. | - |
Appears in Collections: | Edu-Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
FULLTEXT_158638.pdf | เอกสารฉบับเต็ม | 21.3 MB | Adobe PDF | View/Open |
This item is licensed under a Creative Commons License