Please use this identifier to cite or link to this item:
https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/8905
Title: | องค์คณะในการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง |
Other Titles: | Court panel system for the criminal case of politician |
Authors: | กมลชัย รัตนสกาววงศ์ ปุญวรินท์ บุนนาค, 2521- มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชานิติศาสตร์ |
Keywords: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชานิติศาสตร์--การศึกษาเฉพาะกรณี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิชาเอกกฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรม--การศึกษาเฉพาะกรณี นักการเมือง--คดีอาญา--ไทย การศึกษาอิสระ--นิติศาสตร์ |
Issue Date: | 2556 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช |
Abstract: | การศึกษาค้นคว้าอิสระเรื่อง “องค์คณะในการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาที่มาของแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีอาญากับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (2) ศึกษาแนวคิดและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระบบองค์คณะผู้พิพากษารวมถึงการลงคะแนนเสียงในการพิพากษาคดีของประเทศไทยและต่างประเทศ (3) วิเคราะห์สภาพปัญหาเกี่ยวกับ องค์คณะในการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในแง่มุมต่าง ๆ ในเชิงศึกษาเปรียบเทียบ (4) เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงหรือตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความเหมาะสมกับบริบทของสังคมและกฎหมายของประเทศไทยต่อไป การศึกษาค้นคว้าอิสระเรื่องนี้เป็นการวิจัยทางกฎหมายโดยการวิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วย การวิจัยเอกสาร โดยศึกษาค้นคว้าจากเอกสารทางนิติศาสตร์จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวบทกฎหมาย หนังสือ บทความ เอกสารทางวิชาการ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ และข้อมูลเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่า ผู้พิพากษาส่วนมากในศาลยุติธรรมจะคุ้นเคยและมีประสบการณ์ในระบบ กล่าวหามากกว่าระบบไต่สวนซึ่งใช้ในดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้นศาลที่ทำ หน้าที่ไต่สวนจึงต้องมีความรู้และวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะในรายละเอียดเกี่ยวกับระบบ ระเบียบหรือวิธี ปฏิบัติต่างๆ เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่มีปัญหาโต้เถียงกันพอสมควรด้วย และในประเด็นเรื่องมติขององค์คณะ ในการลงคะแนนเสียงนั้น ควรมีการแก้ไขและเพิ่มเติมพระราชบัญญติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธี พิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ.ศ. 2542 ในมาตรา 20 ให้การวินิจฉัยชี้ขาดหรือการพิพากษาคดี ในเรื่องการลงมติ โดยให้ถือมติตามเสียงข้างมาก ซึ่งต้องมีเสียงข้างน้อยไม่เกินสองคน และหากมติเสียงข้างมากเหลือไม่ถึง 6 คน ต้องใช้มติเอกฉันท์เท่านั้น ซึ่งการแก้ไขมาตราดังกล่าวจะทำให้อัตรา ร้อยละของมติในการลงคะแนนเสียง จะเป็น 7 ต่อ 2 ซึ่งคือร้อยละ 77.77 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงและมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ หรือหากเป็นกรณีมติเสียงข้างมากเหลือไม่ถึง 6 คน ต้องใช้มติเอกฉันท์มติ อัตราร้อยละจะเป็น 66.66 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าที่กฎหมายบัญญํติไว้ในปัจจุบัน อันจะเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นของประชาชน รวมทั้งตัวผู้กระทำความผิดที่ถูกดำเนินคดี ว่าจะได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีด้วยความเป็นธรรมโดยเป็นไปตามหลักสากล และควรมีการแยกพิจารณาในด้านคะแนนเสียงในการวินิจฉัยและ คะแนนเสียงในการลงโทษด้วย |
URI: | https://ir.stou.ac.th/handle/123456789/8905 |
Appears in Collections: | Law-Independent study |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
Fulltext_140837.pdf | เอกสารฉบับเต็ม | 13.55 MB | Adobe PDF | View/Open |
This item is licensed under a Creative Commons License